พฤติกรรมของผู้ดูแลในการดูแลเด็กป่วยด้วยโรคเรื้อรังอายุต่ำกว่า 5 ปี

การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ดูแลในการให้การดูแลเด็กป่วยด้วยโรค เรื้อรังที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และปัจจัยที่กำหนดของผู้ดูแลเด็ก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่มีอายุ ต่ำกว่า 5 ปี ที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จำนวน 176 คน เครื่องมือที่ใช้ในกา...

Full description

Saved in:
Bibliographic Details
Main Authors: กรวิกา แผ้วพลสง, ประสิทธิ์ ลีระพันธ์, มณฑา เก่งการพานิช, วีณา เที่ยงธรรม, Kornwika Peawponsong, Prasit Leerapan, Mondha Kenggranpanich, Veena Thiangthum
Other Authors: มหาวิทยาลัยมหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์. ภาควิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์
Format: Article
Language:Thai
Published: 2021
Subjects:
Online Access:https://repository.li.mahidol.ac.th/handle/123456789/62867
Tags: Add Tag
No Tags, Be the first to tag this record!
Institution: Mahidol University
Language: Thai
Description
Summary:การวิจัยเชิงสำรวจนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ดูแลในการให้การดูแลเด็กป่วยด้วยโรค เรื้อรังที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และปัจจัยที่กำหนดของผู้ดูแลเด็ก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่มีอายุ ต่ำกว่า 5 ปี ที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จำนวน 176 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ ซึ่งผ่าน การพัฒนาและตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาและความเชื่อมั่นในระดับที่ยอมรับได้ เก็บรวบรวบข้อมูลโดย การสัมภาษณ์ตัวอย่างเป็นรายบุคคล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วย สถิติไคสแควร์ และ ANOVA ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมการดูแลเด็กป่วยโรคเรื้อรังที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีในเรื่องการติดตามการ รักษา การให้ยา การฟื้นฟูสมรรถภาพ/กระตุ้นพัฒนาการ และการดูแลด้านจิตใจ โดยภาพรวมผู้ดูแลส่วนใหญ่มี ระดับการดูแลอยู่ในระดับพอใช้ร้อยละ 74.4 รองลงมาอยู่ในระดับดีร้อยละ 22.2 และระดับไม่ดีร้อยละ 3.4 ส่วน ผลกระทบต่อผู้ดูแลในการให้การดูแลเด็กป่วยโรคเรื้อรังที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี นั้น มี 4 ด้านได้แก่ ด้านการงาน การเงิน ความเป็นส่วนตัวและด้านจิตใจ โดยภาพรวมแล้วผู้ดูแลได้รับผลกระทบอยู่ในระดับปานกลาง สูง และต่ำ ร้อยละ 59.1, 31.8 และ 9.1 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจัยด้านอายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส อาชีพ สถานะ ทางเศรษฐกิจของครอบครัว การรับรู้ความรุนแรงของโรคและการได้รับแรงสนับสนุนจากสังคมมีความสัมพันธ์อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ กับพฤติกรรมการให้การดูแลเด็ก (p<0.05) ซึ่งผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อโรงพยาบาลและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการจัดบริการส่งเสริมการสร้างพฤติกรรมการดูแลที่มีคุณภาพ ให้แก่ผู้ดูแลเด็ก และการปรับปรุงสถานบริการได้ครบวงจรด้วย