การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการสกัดแยกวิตามินอีจากน้ำมันปาล์มดิบ โดยใช้วิธีการสกัดแยกเบื้องตัน (การทำสปอนนิฟิเคชัน) การสกัดแยกเบื้องต้นร่วมกับเทคโนโสยีเมมเบรน และการใช้เทคโนโลยีเมมเบรนในการแยกวิตามินอีจากน้ำมันปาล์มดิบโดยตรง โดยพิจารณาจากวิธีการที่ให้ค่าปริมาณวิตามินอีสูงที่สุด ในส่วนขอ...

Full description

Saved in:
Bibliographic Details
Main Authors: พรทิพย์ ศรีแดง, จุไรวัลย์ รัตนะพิสิฐ
Other Authors: Faculty of Engineering Civil Engineering
Format: Technical Report
Language:Thai
Published: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2022
Subjects:
Online Access:http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/17585
https://tnrr.nriis.go.th/#/services/research-report/detail/227908
Tags: Add Tag
No Tags, Be the first to tag this record!
Institution: Prince of Songkhla University
Language: Thai
id th-psu.2016-17585
record_format dspace
spelling th-psu.2016-175852022-11-07T04:17:34Z การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ Development of extraction-separation technique for purifying vitamin E from crude palm oil by membrane technology รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ พรทิพย์ ศรีแดง จุไรวัลย์ รัตนะพิสิฐ Faculty of Engineering Civil Engineering คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา Faculty of Engineering Chemical Engineering คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี น้ำมันปาล์ม วิตามินอี เมนเบรน (เทคโนโลยี) งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการสกัดแยกวิตามินอีจากน้ำมันปาล์มดิบ โดยใช้วิธีการสกัดแยกเบื้องตัน (การทำสปอนนิฟิเคชัน) การสกัดแยกเบื้องต้นร่วมกับเทคโนโสยีเมมเบรน และการใช้เทคโนโลยีเมมเบรนในการแยกวิตามินอีจากน้ำมันปาล์มดิบโดยตรง โดยพิจารณาจากวิธีการที่ให้ค่าปริมาณวิตามินอีสูงที่สุด ในส่วนของการทำสบ่อนนิฟิเคซัน พบว่าความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์มีผลต่อริมาณวิตามินอีมากกว่าอุณหภูมิและเวลาในการดำเนินการ ซึ่งสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการทำสปอนนิฟิเคชัน คือ ความเข้มข้นของสารละลายโพเทสเซียมไฮดรอกไซด์ 10% ที่อุณหภูมิ 70 ํC และเวลา 30 นาที พบว่ามีการสูญเสีย Beta-tocopherol ประมาณ 20% อย่างไรก็ตามที่สภาวะดังกล่าวไม่สามารถกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์ทั้งหมดได้ จึงมีการใช้กระบวนการผสมผสานระหว่างสปอนนิฟิเคชันและเทคโนโลยีเมมเบรน ระดับอัลตราฟิลเตรชันและนาโนฟิลเตรชันที่ค่าความดันเหมาะสม คือ 3 บาร์ และ 15 บาร์ ซึ่งให้ค่าฟลักข์เฉลี่ยเท่ากับ 36.35 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง สำหรับใช้ในการกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์ที่ยังคงเหลือจากการทำปฏิกิริยาสปอนนิฟิเคซันและเพื่อใข้ในการแยกวิตามินอีให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งจากการวิจัยพบว่า กระบวนการผสมผสานดังกล่าวสามารถกำจัดปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ได้สูงถึง 93% จากปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ในน้ำมันปาล์มดิบเริ่มต้น และเมมเบรนนาโนฟิลเตรชันระดับที่สอง (NP030) สามารถแยกวิตามินอื่ได้ 63% ที่ช่วงความดัน 30.0-31.0 บาร์ โดยให้ค่าฟลักซ์เฉลี่ย 7 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในงานวิจัยที่แยกวิตามินอีโดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรนโดยตรงพบว่า เมมเบรนระดับไมโครฟิลเตรซัน, อัลตราฟิลเตรชัน และนาโนฟิลเตรชันขั้นแรกสามารถแยกไตรกลีเซอร์ไรด์ใด้ 80% จากปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ในน้ำมันปาล์มดิบเริ่มต้น และเมมเบรนนาโนพีลเตรชันระดับที่สอง (NP030) สามารถแยกวิตามินอีได้ 65% ที่ช่วงความดัน 38.0-39.0 บาร์ และให้ค่าฟลักซ์เฉลี่ย 6.7 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง โดยสมรรถนะและประสิทธิภาพของแต่ละกระบวนการจะวิเคราะห์จากตัวอย่างที่ผ่านการกรอง (ส่วนที่ผ่านเมมเบรน) โดยพิจารณาสภาวะที่เหมาะสมจากปริมาณ Beta-tocopherol ที่ได้เป็นหลัก โดยพบว่า กระบวนการผสมผสานระหว่างสปอนนิฟิเคชัน และเทคโนโลยีเมมเบรนเป็นวิธีการที่ เหมาะสมที่สุดในการแยกวิตามินอีออกจากน้ำมันปาล์มดิบ เนื่องจากมีการใช้ความดันในการดำเนินการต่ำและให้ค่าเปอร์เซ็นต์การกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์สูง 2022-11-07T04:05:59Z 2022-11-07T04:05:59Z 2553 Technical Report http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/17585 https://tnrr.nriis.go.th/#/services/research-report/detail/227908 th application/pdf มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
institution Prince of Songkhla University
building Khunying Long Athakravi Sunthorn Learning Resources Center
continent Asia
country Thailand
Thailand
content_provider Khunying Long Athakravi Sunthorn Learning Resources Center
collection PSU Knowledge Bank
language Thai
topic น้ำมันปาล์ม
วิตามินอี
เมนเบรน (เทคโนโลยี)
spellingShingle น้ำมันปาล์ม
วิตามินอี
เมนเบรน (เทคโนโลยี)
พรทิพย์ ศรีแดง
จุไรวัลย์ รัตนะพิสิฐ
การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
description งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการสกัดแยกวิตามินอีจากน้ำมันปาล์มดิบ โดยใช้วิธีการสกัดแยกเบื้องตัน (การทำสปอนนิฟิเคชัน) การสกัดแยกเบื้องต้นร่วมกับเทคโนโสยีเมมเบรน และการใช้เทคโนโลยีเมมเบรนในการแยกวิตามินอีจากน้ำมันปาล์มดิบโดยตรง โดยพิจารณาจากวิธีการที่ให้ค่าปริมาณวิตามินอีสูงที่สุด ในส่วนของการทำสบ่อนนิฟิเคซัน พบว่าความเข้มข้นของสารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์มีผลต่อริมาณวิตามินอีมากกว่าอุณหภูมิและเวลาในการดำเนินการ ซึ่งสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการทำสปอนนิฟิเคชัน คือ ความเข้มข้นของสารละลายโพเทสเซียมไฮดรอกไซด์ 10% ที่อุณหภูมิ 70 ํC และเวลา 30 นาที พบว่ามีการสูญเสีย Beta-tocopherol ประมาณ 20% อย่างไรก็ตามที่สภาวะดังกล่าวไม่สามารถกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์ทั้งหมดได้ จึงมีการใช้กระบวนการผสมผสานระหว่างสปอนนิฟิเคชันและเทคโนโลยีเมมเบรน ระดับอัลตราฟิลเตรชันและนาโนฟิลเตรชันที่ค่าความดันเหมาะสม คือ 3 บาร์ และ 15 บาร์ ซึ่งให้ค่าฟลักข์เฉลี่ยเท่ากับ 36.35 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง สำหรับใช้ในการกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์ที่ยังคงเหลือจากการทำปฏิกิริยาสปอนนิฟิเคซันและเพื่อใข้ในการแยกวิตามินอีให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งจากการวิจัยพบว่า กระบวนการผสมผสานดังกล่าวสามารถกำจัดปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ได้สูงถึง 93% จากปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ในน้ำมันปาล์มดิบเริ่มต้น และเมมเบรนนาโนฟิลเตรชันระดับที่สอง (NP030) สามารถแยกวิตามินอื่ได้ 63% ที่ช่วงความดัน 30.0-31.0 บาร์ โดยให้ค่าฟลักซ์เฉลี่ย 7 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในงานวิจัยที่แยกวิตามินอีโดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรนโดยตรงพบว่า เมมเบรนระดับไมโครฟิลเตรซัน, อัลตราฟิลเตรชัน และนาโนฟิลเตรชันขั้นแรกสามารถแยกไตรกลีเซอร์ไรด์ใด้ 80% จากปริมาณไตรกลีเซอร์ไรด์ในน้ำมันปาล์มดิบเริ่มต้น และเมมเบรนนาโนพีลเตรชันระดับที่สอง (NP030) สามารถแยกวิตามินอีได้ 65% ที่ช่วงความดัน 38.0-39.0 บาร์ และให้ค่าฟลักซ์เฉลี่ย 6.7 ลิตรต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง โดยสมรรถนะและประสิทธิภาพของแต่ละกระบวนการจะวิเคราะห์จากตัวอย่างที่ผ่านการกรอง (ส่วนที่ผ่านเมมเบรน) โดยพิจารณาสภาวะที่เหมาะสมจากปริมาณ Beta-tocopherol ที่ได้เป็นหลัก โดยพบว่า กระบวนการผสมผสานระหว่างสปอนนิฟิเคชัน และเทคโนโลยีเมมเบรนเป็นวิธีการที่ เหมาะสมที่สุดในการแยกวิตามินอีออกจากน้ำมันปาล์มดิบ เนื่องจากมีการใช้ความดันในการดำเนินการต่ำและให้ค่าเปอร์เซ็นต์การกำจัดไตรกลีเซอร์ไรด์สูง
author2 Faculty of Engineering Civil Engineering
author_facet Faculty of Engineering Civil Engineering
พรทิพย์ ศรีแดง
จุไรวัลย์ รัตนะพิสิฐ
format Technical Report
author พรทิพย์ ศรีแดง
จุไรวัลย์ รัตนะพิสิฐ
author_sort พรทิพย์ ศรีแดง
title การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
title_short การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
title_full การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
title_fullStr การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
title_full_unstemmed การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
title_sort การพัฒนาเทคนิคการสกัดแยกวิตามินอีบริสุทธิ์เข้มข้นจากน้ำมันปาล์มดิบด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
publisher มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
publishDate 2022
url http://kb.psu.ac.th/psukb/handle/2016/17585
https://tnrr.nriis.go.th/#/services/research-report/detail/227908
_version_ 1751548900312875008